วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตประจำวันประจำวันที่วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2552



18 ตุลาคม พ.ศ. 2552






วันนี้เป็นวันตานก๋วยสลาก ของทาง ชุมชนบ้านใหม่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ถึงแม้จะไม่ได้ไปเที่ยวแต่ก็ไม่เป็นไร ช่วยพ่อแม่ทำงานก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แล้วก็โชคดีที่ไม่ได้ไปงานตานก๋วยสลากเพราะเกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับเด็กหมู่บ้านของดิฉันได้ตกรถเหตุเกิดคือครูขับรถชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงเด็กจึงกระเด็นออกจากรถขาหัก เลือดไหลออกจากหัวหรือกระดูดร้าวถูกส่งไปโรงพยาบาลในตัวเมืองของลำปางอาการหนักมากเป็นตายเท่ากันฉันถือว่าโชคดีที่ไม่ไปเพราะงานไหนที่เพื่อนชวนไปก็ไม่ค่อยได้ไปเหตุที่ไม่ได้ไปเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ


ปิดเทอมนี้มีทั้งเรื่องดีและเรื่องที่ไม่ดีที่ฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และฉันว่าปิดเทอมก็ไม่ใช่ว่าจะได้หยุดพักตลอด ฉันต้องช่วยพ่อแม่ทำงานเกือบทุกวันปิดเทอมก็ไม่เหมือนปิดเทอม แต่ก็เหลืออีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมอีกแล้วเวลาช่างเร็วจริงๆเปิดเทริมก็ดีเหมือนกันจะได้เจอหน้าเพื่อนซักทีจะได้ไม่เหงาเหมือนอยู่ที่บ้านแล้วเปิดเทอมมาฉันจะต้องทำคะแนนให้ดีกว่าตอนเทอม1และจะต้องขยันกว่าเดิม

ชีวิตประจำวันประจำวันที่วันที่ 14ตุลาคม พ.ศ.2552






14 ตุลาคม พ.ศ. 2552






ตื่นเช้ามาวันนี้ตื่นเต้นมากๆเพราะวันนี้ถือเป็นวันสำคัญของฉันคือที่โรงเรียนได้นัดประชุมผู้ปกครองแล้วพร้อมรับไปรับใบป.พ.6 ที่ครูที่ปรึกษาฉันตื่นเต้นมากรอดูคะแนนที่จำได้ว่าเราจะทำได้ดีขนาดไหน จะดีขึ้นหรือย่ำแย่ลงในเทริมนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยเพราะรู้ว่าตัวเองยิ่งโตยิ่งขี้เกียจจึงชอบกังวลเรื่องการเรียนอยู่ตลอดแต่ฉันก็พยายามส่งงานครูทุกงานแม้จะดีบ้างหรือแย่สุดๆไม่เว้นแต่วิชาคอมพิวเตอร์ฉันส่งทุกงานแม้บางครั้งส่งไม่ทันก็หาเวลาไปส่งเองเพราะวิชานี้ฉันชอบมากและเรื่องเข้าเรียนฉันก็ไม่เคยขาดเรียนสักครั้งเข้าเรียนทุกคาบ พอได้ดูผลคะแนนในใบป.พ.6 ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเปิดดูแล้วฉันลองเอาผลการเรียนในเทริมแรกนี้มาเทียบกับตอนม.1และม.2 แล้วผลออกมาว่าดีกว่าเดิม แล้วปีนี้ครูก็ไม่ได้ติเรื่องความประพฤติมีแต่ตอนม.1เท่านั้นที่ครูติเรื่องเดียวว่ากลุ่มของฉันพูดมากไปหน่อย

ชีวิตประจำวันประจำวันที่วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2552



9 ตุลาคม พ.ศ. 2552




วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552 วันนี้เป็นวันศุกร์อากาศก็ค่อนข้างดีตอนเช้าคลื้มๆนิดหน่อยแต่ตอนสายๆก็ร้อนมากวันนี้ฉันได้ออกเดินทางอีกแล้วฉันได้ไปเที่ยวบ้านสามีของน้าที่จังหวัดแพร่ตอนนั่งรถไปก็น่าเบื่อพอไปถึงน้าก็พาฉันไปไหว้พระที่วัดอะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้แต่ไปที่นั่นแล้วรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจเมื่อได้ไปไหว้พระที่วัดพอถึงตอนบ่ายสามโมงก็กลับบ้านแล้วระหว่างทางกลับบ้านแวะไปเที่ยวที่ก้วนพะเยาซักพักที่นั่นสวยและคนก็เยอะมากไปเที่ยวครั้งนี้สนุกจริงๆพอเที่ยวเสร็จก็กลับบ้านแต่สิ่งที่ฉันไม่ชอบที่สุดคือการที่นั่งรถไปไหนมาไหนนานๆเพราะทำไห้ฉันเบื่อเป็นประจำ

ชีวิตประจำวันประจำวันที่วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2552

4 ตุลาคม พ.ศ. 2552





วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ตื่นมาฝนเริ่มตกปรอยๆไม่ตกมากเท่าไร ฉันตื่นแต่เช้าเตรียมตัวส่งน้าไปโรงพยาบาลที่ในเมืองหลวงของจังหวัดลำปางก็คือจังหวัดที่เราอยู่นั่นแหละพอจะไปขึ้นรถฝนก็ดันตกมาหนักมากแต่ก็ยังโคดีที่ไปขึ้นรถทันเวลา ออกรถไปประมาณ 7.30 น. ไปถึงก็ประมาณ 9.00 น. พอไปถึงที่โรงพยาบาลฝนก็หยุดตก ในเมืองหลวงของลำปางไม่เหมือนที่บ้านเราหรอกไปกี่ครั้งอากาศก็ไม่ดีเหมือนบ้านเราเพราะที่นั่นคนเยอะและมลพิษก็มากหายใจไม่ค่อยสะดวกตอนกลางวันหลังกลับจากโรงพยาบาลก็ไปทานอาหารแล้วก็กลับบ้าน

ชีวิตประจำวันประจำวันที่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2552

1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันนี้ก็เป็นต้นเดือนตุลาคมแล้วก็อยู่ในช่วงปิดเทอมด้วยปิดเทริมมาซักประมาณ2อาทิตย์กว่าๆตื่นมาอากาศในตอนเช้าไม่ค่อยจะดีนักเพราะฝนตกจึงไปไหนไม่สะดวกพอแปลงฟันอาบน้ำเสร็จก็เข้าครัวทำอาหารทานในตอนเช้าแล้วเวลาตอนเช้าๆฉันชอบดูข่าวเช้าสนุกมากข่าวแต่ละวันมีแต่ข่าวฆาตกรรมทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ฆ่าข่มขืน ฆ่าลักทรัพย์ หรือจะเป็นฆ่าปิดปาก และก็ยังมีอีกข่าวหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยจะชอบที่สุดก็คือข่าวการเมืองเพราะดูยังไงก็ไม่เห็นจะลงรอยกันซักที และวันนี้ทั้งวันไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลยฝนก็ตกไม่มีวันหยุดจึงช่วยแม่ทำงานบ้านแทน ฉันว่าเวลาได้ช่วยงานใครแล้วรู้สึกว่าเราก็ขยันเหมือนกัน พอไม่มีอะไรทำฉันก็มาจดบันทึก ว่าชีวิตประจำวันฉันได้ทำอะไรไปบ้างไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างและวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันเริ่มจด

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความเกี่ยวกับการศึกษา


บทความเกี่ยวกับการศึกษา


การศึกษา คือการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเท คโนโลยีอย่าง รวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับ คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น 2. การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการงานอาชีพ 3. การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการ เรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน รับผิดชอบ เป็นต้น 4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จัก รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ 5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม อยู่รวมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน 6. การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ ทั้ง 6 ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ที่คนจะต้องได้รับรู้อย่างทั่วถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วน เพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะลักษณะและนิสัยที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีความ จำเป็นมากที่สุด คนที่ขาดความพร้อมต้องการการศึกษามาก มักเป็นกลุ่มคนที่ถูกลืมตลอดเวลา การศึกษาที่ได้รับก็มักเป็นบริการที่กระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่พอแม้เพียงเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ตรงข้ามกับผู้ที่มีความพร้อมพอจะช่วยตนเองได้ กลับได้รับบริการที่มีคุณภาพและปริมาณที่ดีกว่ามาก ดังจะเห็นได้จากสถานศึกษาในเมืองกับในชนบท ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ การศึกษานอกจาก จะไม่สามารถสร้างความพร้อมที่เพียงพอกับผู้ต้องการแล้ว ยังส่งเสริมให้ช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจนแตกต่างกันมากขึ้นด้วย เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การศึกษาเสียใหม่ให้หันมาให้ความสำคัญกับคนยากจนคนเสียเปรียบ และคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นทรัพยากรของรัฐต้องนำมาใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงบริการการศึกษา สำหรับคนยากจนให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ให้เพียงพอกับการสร้างลักษณะสิสัยและความพร้อมที่จำเป็น ถ้าคนยากจน คนเสียเปรียบ คนด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพ แล้ว ปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงไปโดยปริยายและยังทำให้เขากลายเป็นกำลัง สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างดีด้วย การศึกษานอกจากเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และเป็นปัจจัยเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย เราจงฝากความหวังของชาติ ด้วยการพัฒนาการศึกษากันเถิด

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำได้ง่าย






เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำง่ายๆ
ดีครับ...น้องๆ วันนี้ พี่มีเทคนิคในการอ่านหนังสือยังงัยดีน่ะให้จำง่ายๆมาฝากน้องๆด้วยนะครับ(ขอบอกเลยว่าพี่เคยลองมาแล้วนะครับ แอบไปถามเพื่อนๆที่เค้าได้เกรดดีๆมาครับ ว่าเค้ามีเทคนิคอะไร)
อ่ะ...มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ตามมาๆๆๆ
ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการเงิน


นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนเมษายน ยังคงหดตัว แต่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับมีนาคม แม้ว่าจะมีเหตุวุ่นวายทางการเมืองและเป็นเดือนที่มีวันหยุดมาก แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าที่คาด โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 7.6 เช่นเดียวกับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากหมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ 16.4 ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราการใช้กำลังการผลิตยังต่ำคือ ร้อยละ 59.7 และความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อยู่ที่ 39.2 ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ 40 เนื่องจากยังกังวลภาวะการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ติดลบร้อยละ 7.1 เป็นการหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2551 แต่พัฒนาการที่เห็นได้จากดัชนีชี้วัดเดือนต่อเดือนปรับตัวดีขึ้น แต่ยังไม่มั่นใจว่า สัญญาณที่ฟื้นขึ้น เป็นเพียงภาวะชั่วคราวหรือไม่ จึงยังต้องติดตามปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศ นอกจากนี้ในเดือนเมษายน 2552 ยังพบว่าสินเชื่อภาคเอกชนเพิ่มขึ้น หลังจากหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 29,400 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อผู้บริโภคและส่วนใหญ่เป็นการปล่อยกู้ของแบงก์รัฐ หลังรัฐบาลเร่งรัดให้มีการปล่อยสินเชื่อ
ส่วนการส่งออกมีมูลค่า 10,279 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 25.2 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 9,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 36.4 ทำให้ดุลการค้ายังเกินดุล 619 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางอมรา กล่าวถึงข้อเรียกร้องของผู้ส่งออกที่ต้องการให้ ธปท. ดูแลเงินบาทให้อ่อนค่าว่า ปัจจุบัน ธปท. ก็ดูแลอยู่ แต่การเคลื่อนไหวของเงินบาทต้องสอดคล้องกับเศรษฐกิจ โดยเงินบาทที่แท้จริง หากเทียบกับเพื่อนบ้านพบว่า เงินบาทอ่อนลง ทั้งนี้การดูแลเงินบาทจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะหากทำให้เงินบาทอ่อนลงเพื่อช่วยการส่งออก ก็จะมีผลกระทบต่อการนำเข้าน้ำมันซึ่งมีผลกระทบในวงกว้าง ดังนั้นการดำเนินนโยบายจะต้องให้เกิดความสมดุล และ ธปท. ไม่สามารถแยกเงินบาทเป็น 2 ส่วน คือ สำหรับผู้ส่งออกและผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะปัจจุบันมีการเปิดเสรีทั้งการค้าและการเงิน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายนหดตัวร้อยละ 0.9 เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1 โดย ธปท. ไม่กังวลแม้ว่า ราคาน้ำมันจะขยับสูงขึ้นมาที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพราะเมื่อกรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเคยสูงถึง 140 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลมาแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการเงิน


นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2552 ใหม่ คาดว่าจีดีพีจะหดตัวร้อยละ 3-4.5 จากเดิมคาดว่าหดตัวร้อยละ 1.5-3.5 แต่ได้ปรับเพิ่มจีดีพีปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 3-5 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 1.5-3.5 เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า ขยายตัวร้อยละ 3.4 โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จีดีพีจะกลับเป็นบวกในไตรมาส 4 เนื่องจากการส่งออกติดลบน้อยลง และเชื่อว่าผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ 2 จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และภาครัฐเร่งเบิกจ่ายมากขึ้น
นางอัจนา กล่าวว่า สาเหตุที่ ธปท.ปรับลดจีดีพีปี 2552 เพราะยังคงมีปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญเศรษฐกิจโลกอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวและการบริโภคของภาคเอกชน และราคาน้ำมันที่อาจจะปรับตัวสูงกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะบั่นทอนกำไรของธุรกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค
“แม้ 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 สัญญาณเศรษฐกิจจะทรงตัวดีขึ้น และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จีดีพีไตรมาส 1 ติดลบสูงถึงร้อยละ 7.1 เป็นการติดลบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้” นางอัจนา กล่าว
ส่วนการบริโภคของภาคเอกชน คาดการณ์ว่าจะหดตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1-3 การลงทุนภาคเอกชนติดลบร้อยละ 17-19 ซึ่งทั้ง 2 ภาคไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องหวังพึ่งการลงทุนของภาครัฐที่คาดว่าจะโตร้อยละ 4-6 ส่วนการส่งออกติดลบร้อยละ 19.5-22.5 นำเข้าติดลบร้อยละ 29-32 ดุลการค้าเกินดุล 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมาก ๆ ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่ง ธปท.ยืนยันว่ามีการดูแลค่าเงินบาทอย่างดี และค่าเงินบาทไม่ใช่ปัจจัยหลักต่อภาคการส่งออก แต่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและการขยายตัวของประเทศคู่ค้า
ส่วนเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง เงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 0-(-1.5) เงินพื้นฐานอยู่ประมาณร้อยละ 0.5-(-0.5) แม้เงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องก็ไม่ได้เกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากรัฐบาลออกมาตรการลดค่าครองชีพ จึงช่วยบรรเทาผลกระทบของประชาชน


อ้างอิง http://emis.fpo.go.th/txtlstvw.aspx?LstID=5ea6a118-670f-47ad-a56b-e7e99ee33da9